ภาษีคริปโตอลเวงกับความไม่มั่นใจของนักลงทุน

คริปโต ภาษีคริปโตอลเวงกับความไม่มั่นใจของนักลงทุน

ไม่ว่าเพื่อน ๆ จะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวนักลงทุนหน้าใหม่นักลงทุนหน้าเก่า ในช่วงปีที่ผ่านมากระแสการลงทุนยอดฮิตมากที่สุดในประเทศไทยก็คงจะหนีไม่พ้นการลงทุนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่อยู่ในตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลนั่นเอง มีนักลงทุนหลายรายเข้ามาลงทุนเนื่องจากได้ผลตอบแทนที่สูง และก็มีธุรกิจจำนวนไม่น้อยเลยที่เริ่มหันมาสนใจในตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลนี้ แต่ด้วยกฎหมายภาษีที่กรมสรรพากรพึ่งออกมาชี้แจงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เกิดความวิตกกังวลกันอย่างมากในเรื่องของการลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิตอล

ภาษีคริปโตอลเวง 1

ภาษีคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทย

เมื่อตลาดคริปโตในประเทศไทยเริ่มได้รับความนิยมเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรจึงต้องเริ่มมีความเข้มงวดในการเก็บภาษีมากขึ้น โดยกฎหมายภาษีคริปโตนั้นได้ถูกกำหนดออกมาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งกำหนดไว้ว่าผู้ที่ทำกำไรจากการเทรดคริปโตเคอเรนซี่จะต้องมีการหัก 15% จากกำไรเพื่อจ่ายภาษีโดยคิดต่อ การทำธุรกรรม 1 ครั้ง แต่ถ้าเทรดแล้วขาดทุนก็จะไม่ต้องเสียภาษี ที่สำคัญเลยก็คือไม่สามารถนำกำไรมาหักกับขาดทุนได้ พอประกาศออกมาเช่นนี้ทำให้นักลงทุนเกิดความสับสนที่จะหาวิธีการในการคำนวณภาษีเพื่อยื่นภาษีในแต่ละรอบภาษี และเมื่อกรมสรรพากรได้มีการประกาศเรื่องภาษีออกมาเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินทุนที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลที่อยู่ใน Exchange ของประเทศไทยต่างไหลออกนอกประเทศเป็นจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งส่งผลกระทบต่อนักลงทุนและผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ทุกๆ ฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องในเรื่องของตลาดสินทรัพย์ที่ตอนนี้ก็กำลังหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวและออกกฎหมายที่มีความชัดเจนมากขึ้นโดยมีการกำหนดว่าทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นในช่วงปลายเดือนนี้

ภาษีคริปโตอลเวง 2

ตัวอย่างการเก็บภาษีคริปโตเคอเรนซี่ที่ประเทศไทยควรนำมาเป็นแบบอย่าง

ซึ่งในปัจจุบันนี้หลาย ๆ ประเทศก็อนุญาตให้มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอลกันและบางประเทศก็มีการออกกฎหมายในการเก็บภาษีที่ชัดเจนมากจุดนักลงทุนมั่นใจและกล้าที่จะลงทุน ถ้ายกตัวอย่างประเทศใกล้ ๆ เลยก็คือประเทศลาว ประเทศลาวเป็นประเทศที่สนับสนุนการเจริญเติบโตของตลาดสินค้าดิจิตอลเป็นอย่างมากมีการเปิดให้ทำเหมืองขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ โดยผู้ที่จะประกอบการทำเหมืองขุดจะต้องมีการวางเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจการทำเหมืองขุดคริปโตเคอเรนซี่นั้นจะต้องเป็นผู้ประกอบการชาวลาวเท่านั้น และในแง่มุมของแพลตฟอร์มซื้อขายจะต้องวางเงินประกัน 1 ล้านเหรียญสหรัฐในการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ โดยการเสียภาษีจะเป็นการหัก 15% จากค่าธรรมเนียมในการซื้อขายซึ่งเป็นการหักจากแพลตฟอร์มซื้อขายนั่นเอง เรียกว่าเป็นกฎหมายที่มีความชัดเจนอย่างมากและเป็นมิตรต่อนักลงทุน ซึ่งประเทศไทยสามารถนำมาเป็นแบบอย่างได้

Credit : Pixabay

ข้อมูลจาก MGROnline 

Facebook
Twitter

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *